Mammo

น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว

                                      


                                                                   น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว


เป็นน้ำมันพืชชนิดหนึ่ง ผลิตจากรำข้าวน้ำมันรำข้าวมีโอริซานอล ซึ่งสารตัวนี้มีแต่ในรำข้าว สารตัวนี้จะช่วยต้านอนุมูลอิสระ (และป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นได้สูง ทำให้ไม่ต้องใส่สารกันหืนในน้ำมันรำข้าว ถ้าเป็นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันปาล์มจะหืนเร็วการจะตั้งวางขายได้นานๆต้องใส่ตัวช่วยพวกสารกันหืนสังเคราะห์)นอกจากนี้แล้วน้ำมันรำข้าวยังช่วยลดระดับคอเรสตอรอลในเส้นเลือดด้วยอีกทั้งช่วยเพิ่มหรือคงคอเรสตอรอลตัวดี และน้ำมันรำข้าวมีจุดเกิดควันสูงเลยเหมาะกับการทอดด้วยปัจจุบันมีผู้ผลิตน้ำมันรำข้าวจมูกข้าวเป็นแคปซูลจำหน่ายเป็นอาหารเสริม

สรุปประโยชน์ของน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว

1. มีวิตามินอีกลุ่มโทโคฟีรอลและกลุ่มโทโคไตรอีนอลวิตามินอีทั้งสองกลุ่มเป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็ง แต่วิตามินอีกลุ่ม
โทโคไตรอีนอลจะสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่ากลุ่มโทโคฟีรอลและช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้อีกด้วย

2. มีโอรีซานอลสูงโอรีซานอล เป็นสารธรรมชาติที่พบในน้ำมันรำข้าวเท่านั้นไม่พบในน้ำมันพืชชนิดอื่น นอกจากจะมีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าวิตามินอีแล้ว ผลการวิจัยทางโภชนาการพบว่า การบริโภคโอรีซานอลสามารถลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และปรับสมดุลของระบบฮอร์โมนในสตรีวัยทอง

3. มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูงช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี LDL-C ซึ่งทำให้เกิดการอุดตันในผนังหลอดเลือดและเพิ่มหรือคงระดับคอเลสเตอรอลที่ดี(HDL-C) ให้แก่ร่างกาย

4. มีสัดส่วนของกรดไขมันที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆเช่นโรคหัวใจและหลอดเลือด องค์การอนามัยโลกได้แนะนำสัดส่วนของกรดไขมันที่เหมาะสมกับการบริโภค คือ กรดไขมันอิ่มตัว (SFA) : กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (MUFA) : กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (PUFA) เท่ากับ < 10 : 10-15 : < 10 ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน ซึ่งน้ำมันรำข้าวมีสัดส่วนกรดไขมันใกล้เคียงที่สุด เมื่อเทียบกับน้ำมันพืชชนิดอื่น

5 ไม่ใส่สารกันหืนสังเคราะห์เพราะมีสารธรรมชาติที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระอยู่มาก คือ วิตามินอีกลุ่มโทโคฟีรอลและกลุ่มโทโคไตรอีนอล รวมทั้งโอรีซานอล

6. ค่ากรดไขมันทรานส์ใกล้เคียง 0%กรดไขมันทรานส์ เป็นกรดไขมันที่พบได้ในน้ำมันพืชในปริมาณมากน้อยต่างกัน กรดไขมันชนิดนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้เพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL-C) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจ